หมู่บ้านชิราคาวาโกะตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยามา (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี กระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบ ๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River)
เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีภูเขาสูงล้อมรอบทุกด้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ชาวบ้านแถบนี้จึงพัฒนาสังคมและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชุมชนอื่นในญี่ปุ่นมาช้านาน หมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งที่แปลกตาคือหลังคาทรงสูงที่มีความชันมากถึง 60 องศากับพื้นดิน จนดูเหมือนคนพนมมือ ภาษาญี่ปุ่นจึงเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าเป็นรูปแบบกัสโช (Gassho-zukuri) ซึ่งแปลว่าสร้างแบบพนมมือ ด้านหน้าทำเป็นหน้าจั่วแบบบ้านทรงไทย มีการเจาะช่องหน้าต่างเพื่อรับแสงสว่างจากภายนอก และเป็นการระบายอากาศให้ถ่ายเทจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เมื่อมองจากภายนอกจึงดูมีสัดส่วนสวยงาม
ในฤดูหนาวมีหิมะตกหนักมาก ชาวบ้านจึงสร้างหลังคาทรงแหลมสูงลาดลงด้านข้างทั้งสองของบ้านช่วยให้หิมะและน้ำฝนไหลลงมาตามหลังคา ไม่เกาะค้างบนหลังคาเป็นเวลานาน ๆ หิมะจะได้ไม่กองท่วมหลังคา จึงไม่ต้องรับน้ำหนักหิมะปริมาณมาก หิมะที่ตกหนักจะไหลลงมาจากหลังคามากองรอบบ้าน จะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความเย็นและลมหนาวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บ้านส่วนใหญ่ยังหันหน้าไปทางเดียวกันตามทิศทางลม เพื่อช่วยให้บ้านเย็นสบายในฤดูร้อน และสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว
วัสดุที่ใช้มุงหลังคาเป็นวัสดุท้องถิ่นที่หาได้ไม่ยากในแถบนั้น ประกอบด้วยเศษไม้ ต้นไผ่ ดินเหนียว หญ้าคา หลังคาอาจมีความหนาถึง 1 เมตร เพื่อรองรับน้ำหนักหิมะและป้องกันไม่ให้น้ำซึมทะลุหลังคาเข้ามาในบ้าน ทำให้หลังคาไม่ต้องเปียกน้ำเป็นเวลานาน ๆ จนทำให้ผุพังเร็ว
จุดเด่นอีกอย่างคือไม่มีการใช้ตะปูในการมุงหลังคา แต่ใช้วิธีแบบธรรมชาติ คือใช้ไม้ขัดกัน และใช้เชือกมัดให้แน่น เนื่องจากหลังคาพวกนี้ทำจากวัสดุธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ การมุงหลังคาใหม่จะทำในช่วงฤดูใบไม้ผลิหลังจากหิมะละลายหมดแล้ว ในปัจจุบันบ้านแต่ละหลังต้องมุงหลังคาใหม่ทุก 25-35 ปี การมุงหลังคาต้องอาศัยแรงชาวบ้านประมาณ 100-200 คน เหมือนการลงแขกเกี่ยวข้าวของไทย และใช้เวลาเพียงวันเดียวสำหรับบ้าน 1 หลัง ทุกปีจะมีบ้าน 2-3 หลังที่ต้องมุงหลังคาใหม่ เป็นการถ่ายทอดวิธีมุงหลังคาจากรุ่นสู่รุ่นสืบทอดกันมาเป็นประจำทุกปี
ในปี พ.ศ.2538 หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ขึ้นในพริบตา บ้านเรือนต่าง ๆ แปรสภาพกลายเป็นร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ บ้านพักค้างคืน ต้องคอยติดตามชมว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้จะรักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายไว้ได้อีกนานเท่าใด ท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ๆ โดยเฉพาะทัวร์นำเที่ยวจากไทยที่เปิดเส้นทางนี้ให้เป็นที่รู้จักเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และกลายเป็นกระแสในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว
Japan Alpine [GUJYO] & Shirakawa-Go [USJ.]
Japan Alps Gujyo & Shirakawago
CompaxWorld
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น